วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความสุขของการใช้ชีวิตประจำวัน

2552


พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น สูตรแห่งชีวิตประจำวัน ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ

เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น ตำราแห่งชีวิต ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหาและคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง


ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน

 
สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง


สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑.   ดื่มน้ำให้มาก
    

๒.   กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)

๓.  กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕.  หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

๖.   เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

๗.  อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘.  นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙.   นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้



วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้


แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน


สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ


๑.  อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒.   อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓.  อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔.  อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕.  อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖.  จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?


๑.      อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ

๒.    จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓.     จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔.     จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕.     พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖.      คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก  หน่อย

๗.  งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด


และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้


๑.   ทำสิ่งที่ควรทำ

๒.   อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
   ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

๓.   เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔.  ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕.  ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก
    จากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน
    ด้วย...get up, dress up and show up.

๖.   สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

๗.   ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า
    หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘.  เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข
    เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?


และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด


ส่งบทความที่ต่อไปให้คนที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วย

อาหารที่มีประโยชน์ในหน้าร้อน

อาหารหน้าร้อนต้องมีน้ำ ปรุงสุกเพื่อสุขพลานามัย


สุขภาพ


อาหารหน้าร้อนต้องมีน้ำ ปรุงสุกเพื่อสุขพลานามัย (ไทยโพสต์)

           หน้าร้อนเข้ามาเยือนแล้ว หลายคนคงกำลังมองหาอาหารที่จะมารับประทาน เพื่อช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นและช่วยป้องกันโรคที่จะมาพร้อมกับช่วงหน้าร้อน

           น.ส.นฤมล วัฒนาโสภณ นักโภชนาการแผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท ได้ออกมาแนะนำเคล็ดลับการเลือกรับประทานอาหารในช่วงหน้าร้อนว่า อย่างที่ทราบกันดีว่าในช่วงหน้าร้อนนั้นเป็นช่วงที่ร่างกายของเราขาดน้ำ เนื่องจากสูญเสียเหงื่อเป็นจำนวนมากจากอากาศที่ร้อน ดังนั้นอาหารที่เราควรจะรับประทานต้องเป็นอาหารที่มีลักษณะเย็น และต้องปรุงสุกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรืออาหารหวาน

           สำหรับอาหารหวานนั้น นักโภชนาการสาวกล่าวว่า ควรเป็นอาหารจำพวก "ข้าวแช่" เพราะในข้าวแช่นั้นนอกจากจะประกอบไปด้วยเครื่องเคียงหลากชนิดที่มีประโยชน์ ต่อสุขภาพแล้ว น้ำลอยดอกมะลิที่อยู่ในข้าวแช่ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น รวมถึงกลิ่นหอมของดอกมะลิยังช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้อีกด้วย

           นอกจากนี้ยังมี "สลัดผัก" เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าในสลัด 1 จานนั้นจะประกอบไปด้วยผักและผลไม้หลากหลายชนิด ซึ่งผักและผลไม้แต่ละชนิดนั้นจะมีทั้งน้ำและเกลือแร่ผสมอยู่ในสัดส่วนที่ เหมาะสม ก็จะช่วยทดแทนน้ำที่เสียไปจากเหงื่อได้อีกทางหนึ่ง

          ส่วนผลไม้ที่เป็นของหวานนั้น นักโภชนาการสาวแนะนำว่า ควรเป็นผลไม้ลอยแก้วที่รับประทานคู่กับน้ำแข็ง เช่น เงาะลอยแก้ว กระท้อนลอยแก้ว หรือมะปรางลอยแก้ว เป็นต้น เพราะผลไม้จำพวกลอยแก้วเหล่านี้ จะช่วยเรียกความสดชื่นให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ต้องรับประทานในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป เช่น ไม่ควรรับประทานเกินมื้อละ 1 แก้ว แต่ถ้าเป็นผักและผลไม้สดแช่เย็นนั้น นักโภชนาการแนะนำว่าควรเป็นองุ่นและแตงกวา เพราะในผักและผลไม้ทั้ง 2 ชนิดนี้มีน้ำค่อนข้างเยอะ

         นอกจากนี้น้ำผลไม้อย่างเช่นน้ำมะตูม น้ำกระท้อน น้ำมะนาว น้ำแตงโม น้ำเฉาก๊วย ก็ช่วยลดความร้อนให้กับร่างกายและช่วยแก้กระหายน้ำได้ พร้อมกันนี้นักโภชนาการกล่าวว่า ในน้ำมะตูมนั้นนอกจากจะช่วยแก้กระหายได้แล้ว ยังช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย รวมถึงอาหารว่างอย่างโยเกิร์ต ก็สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่เกิดความอ่อนล้าจากอากาศร้อนให้กลับมา สดชื่นได้เช่นกัน

         ส่วนอาหารคาวที่แนะนำให้รับประทานในช่วงหน้าร้อนนั้น เป็นอาหารจำพวกแกงเลียง หรือแกงจืดมะระทรงเครื่องยัดไส้หมู เพราะในอาหารทั้งสองชนิดนี้มีน้ำและผักเป็นส่วนประกอบหลัก จะช่วยแก้กระหายและอาการร้อนในได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันอาหารที่ไม่แนะนำให้รับประทานในช่วงหน้าร้อน นักโภชนาการกล่าวว่า เป็นอาหารจำพวกสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบเนื้อต่างๆ หรืออาหารมันและทอด เช่น แกงกะทิ หมูทอด ฯลฯ เพราะไขมันจากอาหารเหล่านี้จะทำให้ร่างกายสร้างความร้อนเพิ่มมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าอาหารในช่วงหน้าร้อน ควรรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก และที่สำคัญต้องเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ เพื่อป้องกันโรคท้องร่วงที่จะเกิดขึ้นในช่วงหน้าร้อนนั่นเอง

          พร้อมกันนี้นักโภชนาการสาวยังได้ฝากถึงวิธีปฏิบัติตน ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารในช่วงหน้าร้อนว่า
  
          1.ควรอาบน้ำบ่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่นและปราศจากกลิ่นตัว
          2.ควรอยู่ในที่ร่มเพื่อป้องกันการเป็นลมแดด           3.ฟังเพลงที่ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย หรือนั่งสมาธิก็ช่วยได้           4.ออกกำลังกายเบา ๆ           5.หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ           เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ก็ช่วยให้คุณมีสุขภาพดีในช่วงหน้าร้อนนี้ได้ นักโภชนาการกล่าว.